เด็กๆ กับกิจกรรมเพาะเห็ดที่ รร.จัตุรัสวิทยาคาร |
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 ปีที่ 24 ฉบับที่ 521
เทคโนโลยีการเกษตร
อนันท์ กล้ารอด :-
การเพาะเห็ดต่งฝนอย่างละเอียดที่ รร.จัตุรัสวิทยาคาร
เป็นความภาคภูมิใจของโรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ ที่สามารถเพาะเห็ดโต่งฝนได้สำเร็จเป็นครั้งแรก เมื่อ ปี 2553 โดยผมได้แนวคิดในการประยุกต์การเพาะเห็ดมาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี รูปแบบการเพาะคล้ายๆ กับการเพาะเห็ดตีนแรดซึ่งโรงเรียนทำอยู่แล้ว จึงนำมาประยุกต์ จัดทำเป็นโครงการเพื่อสอนนักเรียน ปรากฏว่าได้ผลดี ได้เห็ดดอกโต ทีมงานครูเกษตรและผม รวมทั้งเด็กนักเรียนผู้เฝ้าประคบประหงม ต่างก็ยิ้มอย่างมีความสุข และได้ขยายผลไปยังผู้ปกครองของเด็กนักเรียนที่มาประชุมกับทางโรงเรียน
จากนั้นเป็นต้นมา ทางโรงเรียนจัตุรัสวิทยาคารก็เพาะเห็ดโต่งฝนเรื่อยมาอย่างต่อเนื่อง เพาะในแปลงและในถุงปุ๋ย หมุนเวียนตลอดทั้งปี และวางจำหน่ายตามโครงการตลาดนัดอาชีพของโรงเรียน เห็ดโต่งฝนนี้ มีรสชาติหวาน คล้ายเห็ดเป๋าฮื้อ แต่กรุบน้อยกว่า รสชาติดีกว่าเห็ดนางฟ้า คล้ายๆ กับเนื้อไก่ นำไปประกอบอาหารได้หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นต้มยำ แกงเลียง ผัดผักรวม เห็ดชุบแป้งทอด นึ่งจิ้มน้ำพริก เป็นต้นทำความรู้จักกับ เห็ดโต่งฝน
เห็ด เป็นราชั้นสูง มีวิวัฒนาการสูงสุดกว่าราอื่นๆ รวมทั้งมีวงจรชีวิตที่สลับซับซ้อนกว่าเชื้อราทั่วไป วงจรชีวิตของเห็ดเริ่มจากสปอร์ เมื่อตกไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม จะเกิดเป็นเส้นใยจำนวนมาก และกลุ่มใยราจะเจริญพัฒนาเป็นกลุ่มก้อนเกิดเป็นดอกเห็ด ไม่ว่าจะอยู่บนพื้นดิน บนต้นไม้ ขอนไม้ ซากพืช หรือแม้กระทั่งมูลสัตว์ และเมื่อดอกเห็ดเจริญเติบโต ก็จะสร้างสปอร์ต่อไป และสปอร์เหล่านี้จะปลิวไปเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ก็จะงอกเป็นใยราและเป็นดอกเห็ดได้อีก ซึ่งจะหมุนเวียนเช่นนี้เรื่อยไป มีทั้งชนิดที่กินได้และเห็ดพิษ
เห็ดที่กินได้ ชาวบ้านส่วนใหญ่รู้จักเฉพาะที่มีวางขายในตลาดหมู่บ้าน ตลาดสด หรือซูเปอร์มาร์เก็ต เท่านั้น ยังมีเห็ดที่กินได้อีกหลายสิบชนิดที่ชาวบ้านยังไม่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย รวมถึงยังไม่มีเกษตรกรรายใดกล้าผลิตอย่างจริงจัง ทำให้เห็ดต่างๆ เหล่านั้น เป็นที่รู้จักกันอยู่เฉพาะภายในกลุ่ม หรือภายในหมู่บ้าน ยังไม่แพร่หลายไปสู่ผู้บริโภค การเพาะเห็ดแปลกใหม่จะช่วยเสริมให้ลูกค้ามีทางเลือกเพิ่มขึ้น ซึ่งเห็ดบางชนิดมีรสชาติอร่อย เช่น เห็ดโต่งฝน ที่ผมจะเล่ารายละเอียดให้ทราบกัน ดังนี้
เห็ดโต่งฝน คำว่า โต่งฝน หรือ ต่งฝน เป็นภาษาอีสาน แปลว่า ภาชนะรองรับน้ำฝน เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน ดอกเห็ดจะเจริญงอกงามได้เร็ว ดอกมีขนาดใหญ่จนสามารถใช้รองน้ำฝนได้เมื่อฝนตก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lentinus gigeatus เห็ดสกุลเลนตินัส (Lentinus) ที่เราคุ้นเคย ได้แก่ เห็ดหอม เห็ดขอนขาว เห็ดกระด้าง และเห็ดตีนปลอก เป็นเห็ดดอกใหญ่ รสชาติดี ในธรรมชาติ เห็ดโต่งฝน จะขึ้นได้ดีในดินที่มีอินทรียวัตถุสูง ดินอุดมสมบูรณ์ มีความชื้นสูง อากาศร้อนอบอ้าว พบมากในฤดูฝน แหล่งที่เคยมีเห็ดชนิดนี้ขึ้นมาก่อน ก็จะขึ้นงอกงามในบริเวณเดิมนั้นต้นกำเนิด
มาจากลาว งอกงามดีที่ไทย
เห็ดโต่งฝน มีถิ่นกำเนิดในประเทศสาธารณรัฐประชาชนลาว (สปป.ลาว) ลักษณะดอกเห็ดเมื่อเล็กคล้ายถ้วยหรือกรวย ดอกมีขนาดเล็กตั้งแต่เท่าถ้วยเล็กๆ จนถึงขนาดฝ่ามือ หรือใหญ่เท่าหมวกก็มี ดอกโตเต็มที่ขอบดอกหยัก และม้วนขึ้น มีลักษณะดอกคล้ายเห็ดเป๋าฮื้อ หมวกดอกทรงร่ม สีครีม ในช่วงดอกตูมจะมีรูปร่างกลมๆ มีขนอ่อน สีน้ำตาลอ่อน เมื่อดอกโตขึ้น ปลายดอกจะบานเต็มที่ สีจะจางลงเป็นสีครีมขาว และแผ่แบนออกเต็มที่ ส่วนก้านดอกจะใหญ่แข็งและเหนียว เวลานำไปปรุงอาหารต้องปอกเปลือกที่ก้านออกก่อน คล้ายกับการปอกก้านคะน้า เมื่อปรุงสุกแล้ว จะทำให้ก้านเห็ดอ่อนนุ่ม
ดอกเห็ดที่เกิดจากบริเวณดินที่มีอินทรียวัตถุสูง ดอกจะใหญ่มาก บางดอกหนักมากกว่า 1 กิโลกรัม เพาะได้โดยการทำก้อนเชื้อเหมือนเห็ดถุงทั่วไป ชอบความชื้นสูง โดยเฉพาะในฤดูฝน
การเปิดดอก ให้นำก้อนเชื้อเห็ดโต่งฝนมาฝังในถุงปุ๋ยที่ใส่ดินร่วนผสมกับอินทรียวัตถุในปริมาณ 1 : 1 หรือฝังลงในดินที่ปูรองพื้นด้วยปุ๋ยหมักที่ย่อยสลายดีแล้ว หรือเพาะในตะกร้าก็ได้ โดยเพาะลงดินเลียนแบบธรรมชาติ สถานที่เพาะเห็ดนี้ จะต้องอยู่ในที่ร่ม เช่น ใต้ร่มไม้ใหญ่ อากาศค่อนข้างเย็น รดน้ำแบบปลูกผัก เห็ดจะงอกภายใน 40 วัน เก็บผลผลิตได้ 4-6 เดือน ผลผลิต 1.5-5 กิโลกรัม/ถุงปุ๋ย ราคาขายที่อำเภอจัตุรัส ประมาณ กิโลกรัมละ 100 บาท ราคาดีมาก และเก็บไว้ในตู้เย็นได้นาน 1 สัปดาห์
เห็ดโต่งฝน เป็นเห็ดที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เพาะง่าย เมื่อนำดอกอ่อนระยะดอกเห็ดรูปกรวยมาเขี่ยเชื้อ แล้วประยุกต์วิธีการเพาะจะให้ผลดี มีการเพาะเห็ดชนิดนี้มานานพอสมควรแล้ว ไม่ต้องสร้างโรงเรือนสำหรับเปิดดอกเห็ดเหมือนเห็ดนางรม นางฟ้า สามารถเพาะแบบเดียวกับเห็ดตีนแรด คือ ฝังดินตื้นๆ พร้อมกับโรยเมล็ดพันธุ์ผักไปด้วย ได้ทั้งเห็ดได้ทั้งผัก ทั้งยังสามารถปลูกในถุงปุ๋ยที่ตัดมุมก้นถุงทั้งสองข้างออก แล้วคลุมทับก้อนเชื้อเห็ดด้วยดินร่วนผสมปุ๋ยอินทรีย์ สามารถวางถุงเพาะเห็ดกลางแจ้งในหน้าฝน หรือใต้ร่มไม้ฤดูที่ฝนไม่ตก แดดไม่แรง การรดน้ำเห็ดเท่ากับการรดน้ำให้แก่ต้นไม้ไปในตัว น้ำที่ผ่านก้อนเชื้อเห็ด ยังช่วยให้ต้นไม้ได้รับอาหารเพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่ง
การปรุงอาหารจากเห็ดโต่งฝนนั้น จะต้องลอกเอาเนื้อหุ้มก้านดอกออกเสียก่อน ไม่เช่นนั้น มันจะมีลักษณะคล้ายยางขมเฝื่อนติดในลำคอ คล้ายยางที่หุ้มเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะ หรือเป็นความโดดเด่นเฉพาะตัวของเห็ดโต่งฝน ยางขมนั้น เป็นสารสำคัญที่มีคุณสมบัติเป็นยารักษาโรค คือมีสารเบต้ากลูแคน ที่ช่วยสร้างภูมิต้านทาน และต่อต้านอนุมูลอิสระ คาดว่าในอนาคตไม่ไกล เห็ดโต่งฝน จะก้าวขึ้นมาเป็นเห็ดเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่ง ที่มีศักยภาพในเชิงธุรกิจเพื่อการนำมาสกัดสารเบต้ากลูแคนในอนาคตได้ เพราะมีวิธีการเพาะที่ไม่ยุ่งยาก แถมเห็ดที่ได้ ก็ดอกโตมาก คุ้มค่าน่าลงทุนเป็นได้ทั้งอาหารและยา
ธรรมชาติของเห็ดโต่งฝน
เป็นเห็ดที่เจริญเติบโตโดยอาศัยอยู่ภายในท่อนไม้ที่ถูกกลบฝังดินอยู่ โดยมันจะย่อยเศษไม้ เศษพืช แล้วใช้เป็นอาหารในการเจริญเติบโต เมื่อเส้นใยมีจำนวนมาก ดินมีความชื้นพอดี จะสร้างดอกเห็ดขึ้นมาเหนือผิวดิน ลักษณะคล้ายถ้วยในขณะเล็กแล้วค่อยๆ บานออก จนรองรับฝนได้การเพาะในสไตล์จัตุรัสวิทยาคาร
เก็บเห็ดโต่งฝนดอกอ่อน อายุประมาณ 2-3 วัน ระยะดอกคล้ายรูปกรวย นำเนื้อเยื่อก้านดอกมาเพาะเลี้ยงในอาหารวุ้น PDA เนื้อเยื่อจากดอกอ่อนจะให้เส้นใยเห็ดที่แข็งแรงเจริญเร็วมาก การทดลองเพาะที่โรงเรียน ปรากฏว่าได้ผลผลิตดี เพาะครั้งเดียว เก็บผลผลิตได้เป็นเวลา 4-6 เดือน การเพาะเห็ดโต่งฝนนั้น ลงทุนต่ำ ดูแลรักษาง่าย เมื่อเปรียบเทียบกับเห็ดอื่นๆ ในขณะที่ราคาจำหน่าย กิโลกรัมละ 100 บาท ซึ่งถือว่าได้ราคาดีมาก
เห็ดโต่งฝน 1 ก้อน ให้ผลผลิตประมาณ 0.3-1 กิโลกรัม ต่อการเพาะ 1 รุ่น ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน และสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากต้องฝังก้อนเห็ดลงไปในดิน และต้องการความชุ่มชื้นมาก ฉะนั้น ในช่วงฤดูฝนจึงเหมาะอย่างยิ่งที่เกษตรกรหรือผู้สนใจเพาะเห็ดโต่งฝน เพราะเป็นเห็ดที่มีดอกขนาดใหญ่ เมื่อจะนำมาปรุงอาหาร ให้ปอกเอาเปลือกนอกออก ข้างในจะนุ่ม รสชาติดี
ที่อำเภอจัตุรัส มีขายที่โรงเรียนจัตุรัสวิทยาคารครับ (ในวันที่มีตลาดนัด) ต่อไปหากได้รับความนิยมมากขึ้น ก็อาจมีผู้เพาะกันมากขึ้น ด้วยวิธีการเพาะแบบเห็ดตีนแรด ใช้วิธีแยกเชื้อจากดอกเห็ดโดยการเขี่ยเชื้อเห็ด แล้วนำมาเลี้ยงในอาหารวุ้นแบบเห็ดทั่วๆ ไป ใช้เวลา 8-10 วัน เส้นใยเดินเต็มอาหารวุ้น แล้วขยายเชื้อไปเลี้ยงในหัวเชื้อเมล็ดข้าวฟ่าง ใช้เวลา 12-15 วัน เส้นใยเดินเต็มเมล็ดข้าวฟ่าง เมื่อเชื้อเจริญเต็มเมล็ดข้างฟ่างแล้ว ก็เพาะลงถุงขี้เลื่อยหรือปุ๋ยหมักผสมขี้เลื่อยรำละเอียด และปูนขาว เหมือนสูตรการเพาะเห็ดทั่วไป
สำหรับโรงเรียนในท้องถิ่นที่มีเปลือกข้าวโพดแห้งจำนวนมาก เป็นผลผลิตจากลานรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เมื่อสีข้าวโพดเอาเมล็ดแล้วผลพลอยได้เป็นเปลือกข้าวโพดและซังข้าวโพดจำนวนมหาศาล ซังข้าวโพดขายเป็นวัตถุดิบเชื้อเพลิง ส่วนเปลือกข้าวโพดเผาทิ้งทำให้เกิดมลพิษ จึงได้นำมาทดลองเพาะเห็ด จนได้สูตรที่เหมาะสมดังนี้ เปลือกข้าวโพดแห้ง 100 กิโลกรัม น้ำ 65 กิโลกรัม ผสมทีละน้อยให้เข้ากันเนื่องจากการดูดซับน้ำมีน้อย หมักไว้ 21 วัน กลับกองหมักทุก 3 วัน เพื่อให้เปลือกข้าวโพดอ่อนตัว กองหมักคลุมด้วยผ้าพลาสติก วันที่ 22 ผสมรำละเอียด 5 กิโลกรัม ปูนขาว 2 กิโลกรัม (สูตรนี้เพาะเห็ดนางรม นางฟ้า เป๋าฮื้อ ได้) บรรจุถุงเพาะเห็ด นำไปนึ่งฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส เวลา 3 ชั่วโมง นำออกจากถังนึ่งทิ้งไว้ให้เย็น ใส่หัวเชื้อเห็ดโต่งฝนที่เตรียมไว้ ปล่อยให้เส้นใยเจริญเต็มถุง ใช้เวลาประมาณ 35-45 วัน ในฤดูร้อน ส่วนฤดูหนาวจำนวนวันจะเพิ่มขึ้น แล้วพักตัวเพื่อให้เส้นใยรัดตัวคล้ายแผ่นสีขาว ใช้เวลาประมาณ 7 วัน ก็พร้อมต่อการฝังดินให้เกิดดอกเห็ด โดยนำไปเพาะแบบแปลง หรือเพาะในกระสอบถุงปุ๋ย
การเพาะในแปลง
แปลงที่ฝังก้อนเชื้อ จะเป็นใต้ร่มไม้หรือกลางแจ้งก็ได้ ความลึกให้พอฝังก้อนในแนวตั้ง แล้วกลบดินลึกอีก 1-2 นิ้ว วางก้อนเชื้อเห็ดที่แกะถุงพลาสติกออกแล้ว เรียงติดกัน 5-6 ก้อน หรือมากกว่า วางติดกันไป เส้นใยจะประสานกันเอง ดินที่คลุมผสมปุ๋ยอินทรีย์ด้วย รดน้ำให้ชุ่มชื้น เมื่อฝนไม่ตก แต่อย่าให้น้ำขังแฉะ หรือจะนำก้อนเห็ดมาเพาะในดินผสมปุ๋ยอินทรีย์ที่ใส่ในถุงปุ๋ยตัดมุมก้นถุงเพื่อให้ระบายน้ำได้ดี ดินผสมรองพื้นหนา 6 นิ้ว วางก้อนเชื้อเห็ดที่แกะถุงพลาสติกออกแล้ว เรียงติดกัน 5 ก้อน/ถุง ใส่ดินผสมลงด้านข้างและกลบด้านบนหนา 2 นิ้ว รดน้ำให้ชุ่ม จัดวางในร่มทำโครงไม้ไผ่ข้างบน คลุมด้วยซาแรนพรางแสง 80 เปอร์เซ็นต์ ใช้ฟางคลุมทับซาแรนเพื่อรักษาความชื้น หลังจากนั้น ประมาณ 35-40 วัน ดอกเห็ดจะงอก
นับเป็นเห็ดที่เพาะได้ง่าย ไม่มีวิธีที่ยุ่งยากนัก หากคลุมดิน และรักษาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เห็ดโต่งฝนจะผลิออกมาเป็นกอ จำนวน 2-12 ดอก/กอ น้ำหนัก 1-3 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับคุณภาพของวัสดุปลูก การเพาะลงถุงจะให้ผลผลิตดีกว่าเพาะลงแปลง เนื่องจากสามารถควบคุมสภาพแวดล้อมปัจจัยต่างๆ ได้ง่าย
เทคนิคการเพาะ
เห็ดโต่งฝน ลงแปลง
การเลือกพื้นที่ พื้นที่จะใช้ทำแปลงเพาะเห็ดโต่งฝนนั้น ต้องเป็นที่ดอน น้ำไม่ท่วม ทำแปลงขนาด 1x2 เมตร เป็นพื้นที่เรียบ เมื่อรดน้ำ น้ำไหลสะดวก ไม่ท่วมขัง
ใช้ปุ๋ยหมักที่ย่อยสลายดีแล้ว หรืออินทรียวัตถุ เช่น ใบไม้แห้ง วัชพืช ปุ๋ยคอก ใส่ลงในแปลงที่เตรียมไว้แล้วใช้ดินร่วนกลบ รดน้ำให้ชุ่ม หมักไว้เป็นเวลา 2 เดือน เป็นการรองปุ๋ยอินทรีย์ก่อนเพาะเห็ด
นำก้อนเชื้อเห็ดโต่งฝนที่เส้นใยเดินเต็มแล้ว เอามาถอดถุงพลาสติกออกก่อน จึงนำก้อนเห็ดที่ได้ไปจัดเรียงลงในแปลงเพาะ (แปลง ขนาด 1x2 เมตร จะเรียงได้ จำนวน 200 ก้อน) ใช้ดินกลบเล็กน้อย เอาฟางคลุมแปลงเพาะอีกครั้ง เพื่อเก็บความชื้น และพรางแสงแดด
หลังจากนั้น ต้องทำโครงไม้ไผ่ครอบแปลง ข้างบนคลุมด้วยซาแรนพรางแสง 80% ใช้ฟางคลุมทับซาแรนเพื่อรักษาความชื้น และต้องรดน้ำให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ แต่อย่าให้แฉะ ในฤดูฝน ฝนตกบ่อยก็ไม่จำเป็นต้องรดน้ำ หลังจากนั้น ประมาณ 35-40 วัน ดอกเห็ดจะงอก ควรเก็บเห็ดในวันที่ 4 เห็ดจะมีคุณภาพดี เห็ดจะหมุนเวียนออกดอกได้ 4-6 เดือน ขึ้นอยู่กับการปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม ดินมีอินทรียวัตถุสูง อุดมสมบูรณ์ มีความชื้นสูง อากาศร้อนอบอ้าว ก้อนเชื้อเห็ด 100 ก้อน จะให้ผลผลิตประมาณ 30 กิโลกรัม ผลผลิตที่ได้ จะให้นักเรียนนำไปขาย ในวันที่มีตลาดนัดของโรงเรียน
นักเรียนที่เรียนการเพาะเห็ดและผลิตเชื้อเห็ด จะมอบหมายและฝึกให้เฝ้าสังเกตการเปลี่ยนแปลงของเส้นใยเห็ด ขณะที่ฝังอยู่ในดิน ตลอดจนการรวมตัวของเส้นใยเพื่อเกิดดอกเห็ด การเจริญของดอกเห็ด จนกระทั่งปล่อยสปอร์ การเฝ้ารอคอยให้เกิดดอกเห็ด จึงเป็นเรื่องที่น่าติดตามด้วยความสนใจใฝ่รู้ของนักเรียนเป็นอย่างมาก
เห็ดโต่งฝนเพาะที่โรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร ผมได้บันทึกสถิติดอกเห็ดขนาดใหญ่ไว้ ดังนี้
ปี 2553 ดอกโต วัดความกว้างได้ 40 เซนติเมตร ก้านดอกยาว 30 เซนติเมตร น้ำหนักเฉลี่ย ดอกละ 1.2 กิโลกรัม
ปี 2554 ดอกโต วัดความกว้างได้ 55 เซนติเมตร ก้านดอกยาว 35 เซนติเมตร น้ำหนักเฉลี่ย ดอกละ 1.5 กิโลกรัม
ข้อเสนอแนะ
จากประสบการณ์จริง
1. ก้อนเชื้อเห็ดโต่งฝน เส้นใยมีการเจริญเติบโตที่ช้าอย่างน้อย 35-45 วัน จึงเดินเต็มถุง ถ้าอากาศหนาวจะช้ากว่านี้อีก วิธีกระตุ้นในฤดูหนาวการพักก้อนเชื้อต้องเป็นห้องที่ป้องกันลมหนาวปะทะก้อนเชื้อเห็ดได้ อากาศเย็นจะทำให้เส้นใยชะงักการเจริญ
2. แปลงเพาะเห็ดที่มีอินทรียวัตถุมาก ความชื้นพอเหมาะ อากาศที่ร้อนอบอ้าว จะชักนำให้เส้นใยเจริญเติบโตได้ดี ถ้าเพาะลงในดินที่มีอินทรียวัตถุสูง จะทำให้มีดอกใหญ่ น้ำหนักมาก อินทรียวัตถุต้องผ่านการย่อยสลายที่ดีก่อนนำมาใช้ เนื่องจากจะมีเชื้อราเหลืองและราเขียวปะปนทำให้ผลผลิตลดลงมากหรือไม่มี
3. แปลงเพาะไม่ควรเป็นที่ลุ่ม เพราะจะทำให้น้ำขัง จากการสังเกตพบว่า ถ้ารดน้ำเปียกเกินไป จะทำให้เส้นใยไม่เจริญเติบโต และก้อนเชื้อเห็ดจะเน่าได้
การเลือกพื้นที่
สำหรับเพาะเห็ดโต่งฝน
พื้นที่ที่จะนำก้อนเชื้อเห็ดไปฝังกลบ ต้องเลือกพื้นที่ที่แสงแดดส่องรำไร เช่น บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ หรือชายคาโรงเรือน ขุดดินหรือก่อด้วยอิฐบล็อกให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ลึกประมาณ 25 เซนติเมตร กว้าง ประมาณ 1 เมตร ส่วนความยาวตามขนาดของพื้นที่หรือตามจำนวนก้อนเห็ดที่มี โดยพื้นที่ 1 ตารางเมตร ฝังก้อนเชื้อได้ประมาณ 100 ก้อน โรยปูนขาวเล็กน้อยที่ก้นพื้นแปลง เพื่อปรับสภาพความเป็นกรด-ด่างของดิน นำปุ๋ยอินทรีย์มาผสมกับดินร่วน รองก้นหลุมประมาณ 4 นิ้ว นำก้อนเห็ดที่แกะถุงพลาสติกออกหมดแล้ว ลงไปเรียงไว้ในหลุม เรียงให้ชิดกันในแนวตั้ง จะทำให้เส้นใยเห็ดเจริญเติบโตได้ถึงกัน สร้างความแข็งแรงของเส้นใยทำให้ได้เห็ดกอใหญ่
จากนั้นนำดินที่ผสมอินทรียวัตถุกลบก้อนเชื้อให้มิด หนาประมาณ 2 นิ้ว รดน้ำเช้า-เย็นให้ชุ่ม แต่อย่าให้แฉะเกินไป และควรให้มีทางระบายน้ำออกเพื่อไม่ให้ก้อนเชื้อเน่า ที่สำคัญไม่ควรปล่อยให้พื้นดินแห้งเป็นเวลานาน จะทำให้เชื้อเห็ดเจริญเติบโตไม่ดี หรือชะงักการเจริญเติบโตได้
หากไม่มีพื้นที่มากพอที่จะเพาะ สามารถนำไปเพาะลงกระถางหรือตะกร้าหรือถุงปุ๋ยที่ตัดมุมก้นถุงสำหรับระบายน้ำแล้วนำไปวางไว้ตามระเบียงบ้านก็ได้ นอกจากจะปลูกเพื่อบริโภคแล้ว ยังใช้เป็นไม้ประดับได้สวยงามอีกด้วย ใช้ระยะเวลา 35-40 วัน (หลังจากเชื้อเดินเต็มถุงแล้ว) ก็จะเริ่มมีตุ่มเห็ดเกิดขึ้นมา ทิ้งไว้อีก 4-5 วัน ก็เก็บเห็ดได้
การเก็บเห็ด ควรเก็บเมื่อดอกเริ่มบานเป็นรูปกรวย หากปล่อยให้บานกว่านี้ สีจะซีดลงและปลายดอกจะเปราะยุ่ย ฉีกขาดหรือหักง่าย ส่วนก้านจะแข็งและเหนียว
การทำเห็ดนึ่ง สูตรโรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร (อนุเคราะห์สูตรโดย ครูอุไรรัตน์ กำเนิดจอก ครูชำนาญการพิเศษ)
วิธีทำ
- เก็บเห็ดดอกเริ่มบาน มาล้างน้ำให้สะอาด ลอกเปลือกที่ก้านออก แล้วฉีกเป็นชิ้นพอคำ
- แช่เห็ดที่ฉีกแล้วในน้ำเกลือ (2 ช้อนโต๊ะ ละลายในน้ำ 5 ลิตร) เพื่อลดกลิ่นเห็ด หรือเมือก
- จัดวางเห็ดบนจานสำหรับนึ่ง ที่รองก้นด้วยตะไคร้ซอย ข่าหั่นแว่น ใบมะกรูดฉีก ใบแมงลัก โรยเกลือบนเห็ดเล็กน้อย หรือบุบพริกชี้ฟ้าวางไว้ข้างบนเห็ดสัก 2-3 เม็ด ก็ได้
- นำไปนึ่งนาน 4-5 นาที เห็ดจะสุก นำมารับประทานกับน้ำจิ้มซีฟู้ด น้ำจิ้มแจ่ว หรือน้ำพริกต่างๆ ก็ได้ โดยสูตรการทำน้ำจิ้มซีฟู้ดทำง่ายๆ เพียงนำพริกชี้ฟ้าโขลกกับกระเทียมให้ละเอียด ใส่น้ำตาลทรายเล็กน้อย น้ำปลาดี เกลือ มะนาว ผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามใจชอบ ใช้เป็นน้ำจิ้มกับเห็ดนึ่งอร่อยมาก
ปัจจุบัน เห็ดโต่งฝน ขยับตัวขึ้นห้าง เห็นมีวางจำหน่ายที่ซูเปอร์มาร์เก็ตที่ห้างเดอะมอลล์ นครราชสีมา และห้างคลังพลาซ่า ในตัวเมืองจังหวัดนครราชสีมา ในแพ็กที่สะอาดน่าซื้อ แต่ราคาแพง
ข้อมูลเพิ่มเติม หรือสนใจอยากจะศึกษาเรียนรู้ เชิญที่ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง โรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ ที่ ครูอนันท์ กล้ารอด โทร. (089) 795-1967 และ ครูพรหมวิทย์ กำเนิดจอก โทร. (086) 258-1699 ยินดีให้คำปรึกษาครับ
อนันท์ กล้ารอด :-
การเพาะเห็ดต่งฝนอย่างละเอียดที่ รร.จัตุรัสวิทยาคาร
เห็ดโต่งฝนเบ่งบาน ที่ จัตุรัสวิทยาคาร
จากนั้นเป็นต้นมา ทางโรงเรียนจัตุรัสวิทยาคารก็เพาะเห็ดโต่งฝนเรื่อยมาอย่างต่อเนื่อง เพาะในแปลงและในถุงปุ๋ย หมุนเวียนตลอดทั้งปี และวางจำหน่ายตามโครงการตลาดนัดอาชีพของโรงเรียน เห็ดโต่งฝนนี้ มีรสชาติหวาน คล้ายเห็ดเป๋าฮื้อ แต่กรุบน้อยกว่า รสชาติดีกว่าเห็ดนางฟ้า คล้ายๆ กับเนื้อไก่ นำไปประกอบอาหารได้หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นต้มยำ แกงเลียง ผัดผักรวม เห็ดชุบแป้งทอด นึ่งจิ้มน้ำพริก เป็นต้นทำความรู้จักกับ เห็ดโต่งฝน
เห็ด เป็นราชั้นสูง มีวิวัฒนาการสูงสุดกว่าราอื่นๆ รวมทั้งมีวงจรชีวิตที่สลับซับซ้อนกว่าเชื้อราทั่วไป วงจรชีวิตของเห็ดเริ่มจากสปอร์ เมื่อตกไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม จะเกิดเป็นเส้นใยจำนวนมาก และกลุ่มใยราจะเจริญพัฒนาเป็นกลุ่มก้อนเกิดเป็นดอกเห็ด ไม่ว่าจะอยู่บนพื้นดิน บนต้นไม้ ขอนไม้ ซากพืช หรือแม้กระทั่งมูลสัตว์ และเมื่อดอกเห็ดเจริญเติบโต ก็จะสร้างสปอร์ต่อไป และสปอร์เหล่านี้จะปลิวไปเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ก็จะงอกเป็นใยราและเป็นดอกเห็ดได้อีก ซึ่งจะหมุนเวียนเช่นนี้เรื่อยไป มีทั้งชนิดที่กินได้และเห็ดพิษ
เห็ดที่กินได้ ชาวบ้านส่วนใหญ่รู้จักเฉพาะที่มีวางขายในตลาดหมู่บ้าน ตลาดสด หรือซูเปอร์มาร์เก็ต เท่านั้น ยังมีเห็ดที่กินได้อีกหลายสิบชนิดที่ชาวบ้านยังไม่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย รวมถึงยังไม่มีเกษตรกรรายใดกล้าผลิตอย่างจริงจัง ทำให้เห็ดต่างๆ เหล่านั้น เป็นที่รู้จักกันอยู่เฉพาะภายในกลุ่ม หรือภายในหมู่บ้าน ยังไม่แพร่หลายไปสู่ผู้บริโภค การเพาะเห็ดแปลกใหม่จะช่วยเสริมให้ลูกค้ามีทางเลือกเพิ่มขึ้น ซึ่งเห็ดบางชนิดมีรสชาติอร่อย เช่น เห็ดโต่งฝน ที่ผมจะเล่ารายละเอียดให้ทราบกัน ดังนี้
เห็ดโต่งฝน คำว่า โต่งฝน หรือ ต่งฝน เป็นภาษาอีสาน แปลว่า ภาชนะรองรับน้ำฝน เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน ดอกเห็ดจะเจริญงอกงามได้เร็ว ดอกมีขนาดใหญ่จนสามารถใช้รองน้ำฝนได้เมื่อฝนตก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lentinus gigeatus เห็ดสกุลเลนตินัส (Lentinus) ที่เราคุ้นเคย ได้แก่ เห็ดหอม เห็ดขอนขาว เห็ดกระด้าง และเห็ดตีนปลอก เป็นเห็ดดอกใหญ่ รสชาติดี ในธรรมชาติ เห็ดโต่งฝน จะขึ้นได้ดีในดินที่มีอินทรียวัตถุสูง ดินอุดมสมบูรณ์ มีความชื้นสูง อากาศร้อนอบอ้าว พบมากในฤดูฝน แหล่งที่เคยมีเห็ดชนิดนี้ขึ้นมาก่อน ก็จะขึ้นงอกงามในบริเวณเดิมนั้นต้นกำเนิด
มาจากลาว งอกงามดีที่ไทย
เห็ดโต่งฝน มีถิ่นกำเนิดในประเทศสาธารณรัฐประชาชนลาว (สปป.ลาว) ลักษณะดอกเห็ดเมื่อเล็กคล้ายถ้วยหรือกรวย ดอกมีขนาดเล็กตั้งแต่เท่าถ้วยเล็กๆ จนถึงขนาดฝ่ามือ หรือใหญ่เท่าหมวกก็มี ดอกโตเต็มที่ขอบดอกหยัก และม้วนขึ้น มีลักษณะดอกคล้ายเห็ดเป๋าฮื้อ หมวกดอกทรงร่ม สีครีม ในช่วงดอกตูมจะมีรูปร่างกลมๆ มีขนอ่อน สีน้ำตาลอ่อน เมื่อดอกโตขึ้น ปลายดอกจะบานเต็มที่ สีจะจางลงเป็นสีครีมขาว และแผ่แบนออกเต็มที่ ส่วนก้านดอกจะใหญ่แข็งและเหนียว เวลานำไปปรุงอาหารต้องปอกเปลือกที่ก้านออกก่อน คล้ายกับการปอกก้านคะน้า เมื่อปรุงสุกแล้ว จะทำให้ก้านเห็ดอ่อนนุ่ม
ดอกเห็ดที่เกิดจากบริเวณดินที่มีอินทรียวัตถุสูง ดอกจะใหญ่มาก บางดอกหนักมากกว่า 1 กิโลกรัม เพาะได้โดยการทำก้อนเชื้อเหมือนเห็ดถุงทั่วไป ชอบความชื้นสูง โดยเฉพาะในฤดูฝน
การเปิดดอก ให้นำก้อนเชื้อเห็ดโต่งฝนมาฝังในถุงปุ๋ยที่ใส่ดินร่วนผสมกับอินทรียวัตถุในปริมาณ 1 : 1 หรือฝังลงในดินที่ปูรองพื้นด้วยปุ๋ยหมักที่ย่อยสลายดีแล้ว หรือเพาะในตะกร้าก็ได้ โดยเพาะลงดินเลียนแบบธรรมชาติ สถานที่เพาะเห็ดนี้ จะต้องอยู่ในที่ร่ม เช่น ใต้ร่มไม้ใหญ่ อากาศค่อนข้างเย็น รดน้ำแบบปลูกผัก เห็ดจะงอกภายใน 40 วัน เก็บผลผลิตได้ 4-6 เดือน ผลผลิต 1.5-5 กิโลกรัม/ถุงปุ๋ย ราคาขายที่อำเภอจัตุรัส ประมาณ กิโลกรัมละ 100 บาท ราคาดีมาก และเก็บไว้ในตู้เย็นได้นาน 1 สัปดาห์
เห็ดโต่งฝน เป็นเห็ดที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เพาะง่าย เมื่อนำดอกอ่อนระยะดอกเห็ดรูปกรวยมาเขี่ยเชื้อ แล้วประยุกต์วิธีการเพาะจะให้ผลดี มีการเพาะเห็ดชนิดนี้มานานพอสมควรแล้ว ไม่ต้องสร้างโรงเรือนสำหรับเปิดดอกเห็ดเหมือนเห็ดนางรม นางฟ้า สามารถเพาะแบบเดียวกับเห็ดตีนแรด คือ ฝังดินตื้นๆ พร้อมกับโรยเมล็ดพันธุ์ผักไปด้วย ได้ทั้งเห็ดได้ทั้งผัก ทั้งยังสามารถปลูกในถุงปุ๋ยที่ตัดมุมก้นถุงทั้งสองข้างออก แล้วคลุมทับก้อนเชื้อเห็ดด้วยดินร่วนผสมปุ๋ยอินทรีย์ สามารถวางถุงเพาะเห็ดกลางแจ้งในหน้าฝน หรือใต้ร่มไม้ฤดูที่ฝนไม่ตก แดดไม่แรง การรดน้ำเห็ดเท่ากับการรดน้ำให้แก่ต้นไม้ไปในตัว น้ำที่ผ่านก้อนเชื้อเห็ด ยังช่วยให้ต้นไม้ได้รับอาหารเพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่ง
การปรุงอาหารจากเห็ดโต่งฝนนั้น จะต้องลอกเอาเนื้อหุ้มก้านดอกออกเสียก่อน ไม่เช่นนั้น มันจะมีลักษณะคล้ายยางขมเฝื่อนติดในลำคอ คล้ายยางที่หุ้มเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะ หรือเป็นความโดดเด่นเฉพาะตัวของเห็ดโต่งฝน ยางขมนั้น เป็นสารสำคัญที่มีคุณสมบัติเป็นยารักษาโรค คือมีสารเบต้ากลูแคน ที่ช่วยสร้างภูมิต้านทาน และต่อต้านอนุมูลอิสระ คาดว่าในอนาคตไม่ไกล เห็ดโต่งฝน จะก้าวขึ้นมาเป็นเห็ดเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่ง ที่มีศักยภาพในเชิงธุรกิจเพื่อการนำมาสกัดสารเบต้ากลูแคนในอนาคตได้ เพราะมีวิธีการเพาะที่ไม่ยุ่งยาก แถมเห็ดที่ได้ ก็ดอกโตมาก คุ้มค่าน่าลงทุนเป็นได้ทั้งอาหารและยา
ธรรมชาติของเห็ดโต่งฝน
เป็นเห็ดที่เจริญเติบโตโดยอาศัยอยู่ภายในท่อนไม้ที่ถูกกลบฝังดินอยู่ โดยมันจะย่อยเศษไม้ เศษพืช แล้วใช้เป็นอาหารในการเจริญเติบโต เมื่อเส้นใยมีจำนวนมาก ดินมีความชื้นพอดี จะสร้างดอกเห็ดขึ้นมาเหนือผิวดิน ลักษณะคล้ายถ้วยในขณะเล็กแล้วค่อยๆ บานออก จนรองรับฝนได้การเพาะในสไตล์จัตุรัสวิทยาคาร
เก็บเห็ดโต่งฝนดอกอ่อน อายุประมาณ 2-3 วัน ระยะดอกคล้ายรูปกรวย นำเนื้อเยื่อก้านดอกมาเพาะเลี้ยงในอาหารวุ้น PDA เนื้อเยื่อจากดอกอ่อนจะให้เส้นใยเห็ดที่แข็งแรงเจริญเร็วมาก การทดลองเพาะที่โรงเรียน ปรากฏว่าได้ผลผลิตดี เพาะครั้งเดียว เก็บผลผลิตได้เป็นเวลา 4-6 เดือน การเพาะเห็ดโต่งฝนนั้น ลงทุนต่ำ ดูแลรักษาง่าย เมื่อเปรียบเทียบกับเห็ดอื่นๆ ในขณะที่ราคาจำหน่าย กิโลกรัมละ 100 บาท ซึ่งถือว่าได้ราคาดีมาก
เห็ดโต่งฝน 1 ก้อน ให้ผลผลิตประมาณ 0.3-1 กิโลกรัม ต่อการเพาะ 1 รุ่น ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน และสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากต้องฝังก้อนเห็ดลงไปในดิน และต้องการความชุ่มชื้นมาก ฉะนั้น ในช่วงฤดูฝนจึงเหมาะอย่างยิ่งที่เกษตรกรหรือผู้สนใจเพาะเห็ดโต่งฝน เพราะเป็นเห็ดที่มีดอกขนาดใหญ่ เมื่อจะนำมาปรุงอาหาร ให้ปอกเอาเปลือกนอกออก ข้างในจะนุ่ม รสชาติดี
ที่อำเภอจัตุรัส มีขายที่โรงเรียนจัตุรัสวิทยาคารครับ (ในวันที่มีตลาดนัด) ต่อไปหากได้รับความนิยมมากขึ้น ก็อาจมีผู้เพาะกันมากขึ้น ด้วยวิธีการเพาะแบบเห็ดตีนแรด ใช้วิธีแยกเชื้อจากดอกเห็ดโดยการเขี่ยเชื้อเห็ด แล้วนำมาเลี้ยงในอาหารวุ้นแบบเห็ดทั่วๆ ไป ใช้เวลา 8-10 วัน เส้นใยเดินเต็มอาหารวุ้น แล้วขยายเชื้อไปเลี้ยงในหัวเชื้อเมล็ดข้าวฟ่าง ใช้เวลา 12-15 วัน เส้นใยเดินเต็มเมล็ดข้าวฟ่าง เมื่อเชื้อเจริญเต็มเมล็ดข้างฟ่างแล้ว ก็เพาะลงถุงขี้เลื่อยหรือปุ๋ยหมักผสมขี้เลื่อยรำละเอียด และปูนขาว เหมือนสูตรการเพาะเห็ดทั่วไป
สำหรับโรงเรียนในท้องถิ่นที่มีเปลือกข้าวโพดแห้งจำนวนมาก เป็นผลผลิตจากลานรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เมื่อสีข้าวโพดเอาเมล็ดแล้วผลพลอยได้เป็นเปลือกข้าวโพดและซังข้าวโพดจำนวนมหาศาล ซังข้าวโพดขายเป็นวัตถุดิบเชื้อเพลิง ส่วนเปลือกข้าวโพดเผาทิ้งทำให้เกิดมลพิษ จึงได้นำมาทดลองเพาะเห็ด จนได้สูตรที่เหมาะสมดังนี้ เปลือกข้าวโพดแห้ง 100 กิโลกรัม น้ำ 65 กิโลกรัม ผสมทีละน้อยให้เข้ากันเนื่องจากการดูดซับน้ำมีน้อย หมักไว้ 21 วัน กลับกองหมักทุก 3 วัน เพื่อให้เปลือกข้าวโพดอ่อนตัว กองหมักคลุมด้วยผ้าพลาสติก วันที่ 22 ผสมรำละเอียด 5 กิโลกรัม ปูนขาว 2 กิโลกรัม (สูตรนี้เพาะเห็ดนางรม นางฟ้า เป๋าฮื้อ ได้) บรรจุถุงเพาะเห็ด นำไปนึ่งฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส เวลา 3 ชั่วโมง นำออกจากถังนึ่งทิ้งไว้ให้เย็น ใส่หัวเชื้อเห็ดโต่งฝนที่เตรียมไว้ ปล่อยให้เส้นใยเจริญเต็มถุง ใช้เวลาประมาณ 35-45 วัน ในฤดูร้อน ส่วนฤดูหนาวจำนวนวันจะเพิ่มขึ้น แล้วพักตัวเพื่อให้เส้นใยรัดตัวคล้ายแผ่นสีขาว ใช้เวลาประมาณ 7 วัน ก็พร้อมต่อการฝังดินให้เกิดดอกเห็ด โดยนำไปเพาะแบบแปลง หรือเพาะในกระสอบถุงปุ๋ย
การเพาะในแปลง
แปลงที่ฝังก้อนเชื้อ จะเป็นใต้ร่มไม้หรือกลางแจ้งก็ได้ ความลึกให้พอฝังก้อนในแนวตั้ง แล้วกลบดินลึกอีก 1-2 นิ้ว วางก้อนเชื้อเห็ดที่แกะถุงพลาสติกออกแล้ว เรียงติดกัน 5-6 ก้อน หรือมากกว่า วางติดกันไป เส้นใยจะประสานกันเอง ดินที่คลุมผสมปุ๋ยอินทรีย์ด้วย รดน้ำให้ชุ่มชื้น เมื่อฝนไม่ตก แต่อย่าให้น้ำขังแฉะ หรือจะนำก้อนเห็ดมาเพาะในดินผสมปุ๋ยอินทรีย์ที่ใส่ในถุงปุ๋ยตัดมุมก้นถุงเพื่อให้ระบายน้ำได้ดี ดินผสมรองพื้นหนา 6 นิ้ว วางก้อนเชื้อเห็ดที่แกะถุงพลาสติกออกแล้ว เรียงติดกัน 5 ก้อน/ถุง ใส่ดินผสมลงด้านข้างและกลบด้านบนหนา 2 นิ้ว รดน้ำให้ชุ่ม จัดวางในร่มทำโครงไม้ไผ่ข้างบน คลุมด้วยซาแรนพรางแสง 80 เปอร์เซ็นต์ ใช้ฟางคลุมทับซาแรนเพื่อรักษาความชื้น หลังจากนั้น ประมาณ 35-40 วัน ดอกเห็ดจะงอก
นับเป็นเห็ดที่เพาะได้ง่าย ไม่มีวิธีที่ยุ่งยากนัก หากคลุมดิน และรักษาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เห็ดโต่งฝนจะผลิออกมาเป็นกอ จำนวน 2-12 ดอก/กอ น้ำหนัก 1-3 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับคุณภาพของวัสดุปลูก การเพาะลงถุงจะให้ผลผลิตดีกว่าเพาะลงแปลง เนื่องจากสามารถควบคุมสภาพแวดล้อมปัจจัยต่างๆ ได้ง่าย
เทคนิคการเพาะ
เห็ดโต่งฝน ลงแปลง
การเลือกพื้นที่ พื้นที่จะใช้ทำแปลงเพาะเห็ดโต่งฝนนั้น ต้องเป็นที่ดอน น้ำไม่ท่วม ทำแปลงขนาด 1x2 เมตร เป็นพื้นที่เรียบ เมื่อรดน้ำ น้ำไหลสะดวก ไม่ท่วมขัง
ใช้ปุ๋ยหมักที่ย่อยสลายดีแล้ว หรืออินทรียวัตถุ เช่น ใบไม้แห้ง วัชพืช ปุ๋ยคอก ใส่ลงในแปลงที่เตรียมไว้แล้วใช้ดินร่วนกลบ รดน้ำให้ชุ่ม หมักไว้เป็นเวลา 2 เดือน เป็นการรองปุ๋ยอินทรีย์ก่อนเพาะเห็ด
นำก้อนเชื้อเห็ดโต่งฝนที่เส้นใยเดินเต็มแล้ว เอามาถอดถุงพลาสติกออกก่อน จึงนำก้อนเห็ดที่ได้ไปจัดเรียงลงในแปลงเพาะ (แปลง ขนาด 1x2 เมตร จะเรียงได้ จำนวน 200 ก้อน) ใช้ดินกลบเล็กน้อย เอาฟางคลุมแปลงเพาะอีกครั้ง เพื่อเก็บความชื้น และพรางแสงแดด
หลังจากนั้น ต้องทำโครงไม้ไผ่ครอบแปลง ข้างบนคลุมด้วยซาแรนพรางแสง 80% ใช้ฟางคลุมทับซาแรนเพื่อรักษาความชื้น และต้องรดน้ำให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ แต่อย่าให้แฉะ ในฤดูฝน ฝนตกบ่อยก็ไม่จำเป็นต้องรดน้ำ หลังจากนั้น ประมาณ 35-40 วัน ดอกเห็ดจะงอก ควรเก็บเห็ดในวันที่ 4 เห็ดจะมีคุณภาพดี เห็ดจะหมุนเวียนออกดอกได้ 4-6 เดือน ขึ้นอยู่กับการปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม ดินมีอินทรียวัตถุสูง อุดมสมบูรณ์ มีความชื้นสูง อากาศร้อนอบอ้าว ก้อนเชื้อเห็ด 100 ก้อน จะให้ผลผลิตประมาณ 30 กิโลกรัม ผลผลิตที่ได้ จะให้นักเรียนนำไปขาย ในวันที่มีตลาดนัดของโรงเรียน
นักเรียนที่เรียนการเพาะเห็ดและผลิตเชื้อเห็ด จะมอบหมายและฝึกให้เฝ้าสังเกตการเปลี่ยนแปลงของเส้นใยเห็ด ขณะที่ฝังอยู่ในดิน ตลอดจนการรวมตัวของเส้นใยเพื่อเกิดดอกเห็ด การเจริญของดอกเห็ด จนกระทั่งปล่อยสปอร์ การเฝ้ารอคอยให้เกิดดอกเห็ด จึงเป็นเรื่องที่น่าติดตามด้วยความสนใจใฝ่รู้ของนักเรียนเป็นอย่างมาก
เห็ดโต่งฝนเพาะที่โรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร ผมได้บันทึกสถิติดอกเห็ดขนาดใหญ่ไว้ ดังนี้
ปี 2553 ดอกโต วัดความกว้างได้ 40 เซนติเมตร ก้านดอกยาว 30 เซนติเมตร น้ำหนักเฉลี่ย ดอกละ 1.2 กิโลกรัม
ปี 2554 ดอกโต วัดความกว้างได้ 55 เซนติเมตร ก้านดอกยาว 35 เซนติเมตร น้ำหนักเฉลี่ย ดอกละ 1.5 กิโลกรัม
ข้อเสนอแนะ
จากประสบการณ์จริง
1. ก้อนเชื้อเห็ดโต่งฝน เส้นใยมีการเจริญเติบโตที่ช้าอย่างน้อย 35-45 วัน จึงเดินเต็มถุง ถ้าอากาศหนาวจะช้ากว่านี้อีก วิธีกระตุ้นในฤดูหนาวการพักก้อนเชื้อต้องเป็นห้องที่ป้องกันลมหนาวปะทะก้อนเชื้อเห็ดได้ อากาศเย็นจะทำให้เส้นใยชะงักการเจริญ
2. แปลงเพาะเห็ดที่มีอินทรียวัตถุมาก ความชื้นพอเหมาะ อากาศที่ร้อนอบอ้าว จะชักนำให้เส้นใยเจริญเติบโตได้ดี ถ้าเพาะลงในดินที่มีอินทรียวัตถุสูง จะทำให้มีดอกใหญ่ น้ำหนักมาก อินทรียวัตถุต้องผ่านการย่อยสลายที่ดีก่อนนำมาใช้ เนื่องจากจะมีเชื้อราเหลืองและราเขียวปะปนทำให้ผลผลิตลดลงมากหรือไม่มี
3. แปลงเพาะไม่ควรเป็นที่ลุ่ม เพราะจะทำให้น้ำขัง จากการสังเกตพบว่า ถ้ารดน้ำเปียกเกินไป จะทำให้เส้นใยไม่เจริญเติบโต และก้อนเชื้อเห็ดจะเน่าได้
การเลือกพื้นที่
สำหรับเพาะเห็ดโต่งฝน
พื้นที่ที่จะนำก้อนเชื้อเห็ดไปฝังกลบ ต้องเลือกพื้นที่ที่แสงแดดส่องรำไร เช่น บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ หรือชายคาโรงเรือน ขุดดินหรือก่อด้วยอิฐบล็อกให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ลึกประมาณ 25 เซนติเมตร กว้าง ประมาณ 1 เมตร ส่วนความยาวตามขนาดของพื้นที่หรือตามจำนวนก้อนเห็ดที่มี โดยพื้นที่ 1 ตารางเมตร ฝังก้อนเชื้อได้ประมาณ 100 ก้อน โรยปูนขาวเล็กน้อยที่ก้นพื้นแปลง เพื่อปรับสภาพความเป็นกรด-ด่างของดิน นำปุ๋ยอินทรีย์มาผสมกับดินร่วน รองก้นหลุมประมาณ 4 นิ้ว นำก้อนเห็ดที่แกะถุงพลาสติกออกหมดแล้ว ลงไปเรียงไว้ในหลุม เรียงให้ชิดกันในแนวตั้ง จะทำให้เส้นใยเห็ดเจริญเติบโตได้ถึงกัน สร้างความแข็งแรงของเส้นใยทำให้ได้เห็ดกอใหญ่
จากนั้นนำดินที่ผสมอินทรียวัตถุกลบก้อนเชื้อให้มิด หนาประมาณ 2 นิ้ว รดน้ำเช้า-เย็นให้ชุ่ม แต่อย่าให้แฉะเกินไป และควรให้มีทางระบายน้ำออกเพื่อไม่ให้ก้อนเชื้อเน่า ที่สำคัญไม่ควรปล่อยให้พื้นดินแห้งเป็นเวลานาน จะทำให้เชื้อเห็ดเจริญเติบโตไม่ดี หรือชะงักการเจริญเติบโตได้
หากไม่มีพื้นที่มากพอที่จะเพาะ สามารถนำไปเพาะลงกระถางหรือตะกร้าหรือถุงปุ๋ยที่ตัดมุมก้นถุงสำหรับระบายน้ำแล้วนำไปวางไว้ตามระเบียงบ้านก็ได้ นอกจากจะปลูกเพื่อบริโภคแล้ว ยังใช้เป็นไม้ประดับได้สวยงามอีกด้วย ใช้ระยะเวลา 35-40 วัน (หลังจากเชื้อเดินเต็มถุงแล้ว) ก็จะเริ่มมีตุ่มเห็ดเกิดขึ้นมา ทิ้งไว้อีก 4-5 วัน ก็เก็บเห็ดได้
การเก็บเห็ด ควรเก็บเมื่อดอกเริ่มบานเป็นรูปกรวย หากปล่อยให้บานกว่านี้ สีจะซีดลงและปลายดอกจะเปราะยุ่ย ฉีกขาดหรือหักง่าย ส่วนก้านจะแข็งและเหนียว
การทำเห็ดนึ่ง สูตรโรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร (อนุเคราะห์สูตรโดย ครูอุไรรัตน์ กำเนิดจอก ครูชำนาญการพิเศษ)
วิธีทำ
- เก็บเห็ดดอกเริ่มบาน มาล้างน้ำให้สะอาด ลอกเปลือกที่ก้านออก แล้วฉีกเป็นชิ้นพอคำ
- แช่เห็ดที่ฉีกแล้วในน้ำเกลือ (2 ช้อนโต๊ะ ละลายในน้ำ 5 ลิตร) เพื่อลดกลิ่นเห็ด หรือเมือก
- จัดวางเห็ดบนจานสำหรับนึ่ง ที่รองก้นด้วยตะไคร้ซอย ข่าหั่นแว่น ใบมะกรูดฉีก ใบแมงลัก โรยเกลือบนเห็ดเล็กน้อย หรือบุบพริกชี้ฟ้าวางไว้ข้างบนเห็ดสัก 2-3 เม็ด ก็ได้
- นำไปนึ่งนาน 4-5 นาที เห็ดจะสุก นำมารับประทานกับน้ำจิ้มซีฟู้ด น้ำจิ้มแจ่ว หรือน้ำพริกต่างๆ ก็ได้ โดยสูตรการทำน้ำจิ้มซีฟู้ดทำง่ายๆ เพียงนำพริกชี้ฟ้าโขลกกับกระเทียมให้ละเอียด ใส่น้ำตาลทรายเล็กน้อย น้ำปลาดี เกลือ มะนาว ผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามใจชอบ ใช้เป็นน้ำจิ้มกับเห็ดนึ่งอร่อยมาก
ปัจจุบัน เห็ดโต่งฝน ขยับตัวขึ้นห้าง เห็นมีวางจำหน่ายที่ซูเปอร์มาร์เก็ตที่ห้างเดอะมอลล์ นครราชสีมา และห้างคลังพลาซ่า ในตัวเมืองจังหวัดนครราชสีมา ในแพ็กที่สะอาดน่าซื้อ แต่ราคาแพง
ข้อมูลเพิ่มเติม หรือสนใจอยากจะศึกษาเรียนรู้ เชิญที่ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง โรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ ที่ ครูอนันท์ กล้ารอด โทร. (089) 795-1967 และ ครูพรหมวิทย์ กำเนิดจอก โทร. (086) 258-1699 ยินดีให้คำปรึกษาครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น